วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ก้าวช้าๆอย่างสวยงาม

หลังจากเกมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่เราเปิดบ้าน ลอนดอนดาร์บี้แมตช์เจอกับ เวสต์แฮม ตัวกระผมเองมองเห็นอะไรบางอย่างที่เรียกว่าการพัฒนาของทีม ณ ตอนนี้อะไรๆมันก็ดีไปหมด จะเรียกว่าช่วงโปรโมชั่นมั้ย ??? ก็คิดว่าคงจะไม่นะครับ 555 ทีมเราเล่นกันได้ดีมาก วิ่งไล่บอลกันไม่มีเหน็ดเหนื่อยเลยทีเดียว  ขนาดผมนั่งดูผมยังเหนื่อยแทน


พัฒนาของทีมที่ผมรู้สึกแปลกใจมากก็คือ ทีมเรามีเกมรับที่ดีขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านๆมามาก ทั้งที่เปลี่ยนแค่คนเดียว คือ อัลเดอร์ไวล์ เข้ามาประสานกับ แฟร์ทองเก้น โรส และ วอคเกอร์ ซึ่งเป็นชุดเดิมที่ทีมเรามีอยู่แล้ว แต่การเล่นเกมรับเราทำกันได้ดีมากๆ ยากที่ฝั่งตรงข้ามจะเจาะแนวรับของเรา อาจจะมีการผิดพลาดบ้างในจังหวะตีไข่แตกของทางเวสต์แฮม ที่ วอคเกอร์ คงจะตื่นเต้นอยู่กับการทำประตูได้ในนัดนี้ เลยประมาททำพลาดปล่อยให้ ลานซินี่ ผู้เล่นของเวสต์แฮมแตะหลอกผ่านไปยิงอัดเข้าเสาแรกแบบที่กัปตันโยริสก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะติ คงเป็นเรื่องของสมาธิในเกม ถึงแม้รูปเกมมันขาดแล้ว แต่การเก็บคลีนชีท ก็สำคัญเช่นกัน

เดมเบเล่ เป็นอีกนัดที่เจ้าตัวทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งครองบอลที่เหนียวแน่น รวมไปถึงการเข้าเบียดแย่งบอลทำได้เนียนตาจริงๆ การเลี้ยงบอลผ่านเจ้าตัว คงต้องปวดหัวกันเลยทีเดียว นั่งดูไปทั้งเกมผมก็หวั่นๆว่า น้าเดมแกจะไม่ไหวเอา เพราะตั้งแต่สมัยยุค โบอาส เจ้าตัวก็เล่นได้ไม่ครบ 90 นาที บ่อยๆแบบปัจจุบันนี้เท่าไร่ แถมเจ็บบ่อยด้วย ผมคิดว่า ณ ตอนนี้ สภาพร่างกายน้าเดม คงจะแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว ด้วยระบบรักษาความฟิตของ ลูกพี่พอช ที่ทำให้แขร็งแกร่งขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ

อีริคเซ่น “สุดยอดมากๆ“ ผมยังนึกไม่ออกถ้าในสนามไม่มีเขา เราจะทำเกมกันยังไง เป็นหัวใจหลักของทีมเหมือนกับเดมเบเล่ ในการขึ้นเกมรุก วิสัยทัศน์กับเกมรวมไปถึงน้ำหนักการจ่ายบอลไม่ว่าจะเป็นทั้งการจ่ายให้เพื่อนร่วมทีม ทั้งลูกแตะมุม จังหวะฟรีคิกต่างๆ และโอกาสในการลุ้นทำประตู มันสมบูรณ์แบบที่สุด ครบเครื่องจริงๆสำหรับเพลย์เมคเกอร์ ทีมชาติเดนมาร์กคนนี้ มีแอบหวั่นๆว่าอาจจะมีทีมใหญ่มาดึงตัวไปเหมือนกับ โมดริช ก็ขอให้มันไม่เกิดขึ้นละกัน

เดเล่ อัลลี่ ชั่วโมงนี้ไม่พูดถึงดาวรุ่งพุ่งแรง คนนี้ไม่ได้เสียแล้ว ด้วยความสามารถที่เกินวัย จนเบียดให้ ไรอัน เมสัน ต้องไปนั่งสำรองได้ ถือเป็นอะไรที่ เซอร์ไพรส์มากๆ ในฤดูกาลนี้ รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีคงจะหนีไม่พ้นแล้วล่ะ ถ้าไม่บาดเจ็บหรือรักษาฟอร์มการเล่นแบบนี้ไว้ไม่ได้ ตอนมาใหม่ๆผมยังคิดนะว่า ด้วยร่างกายที่ผอมบางแบบนี้ มันจะไหวมั้ย กับพรีเมียร์ลีค ที่มีการปะทะกันอย่างรุนแรง ถึงลูกถึงคนตลอด แต่ “เพชร ยังไง ก็ยังเป็นเพชร“ และด้วยความฟอร์มที่เฉิดฉาย เจ้าตัวก็ได้รับเกียรติให้ติดทีมชาติชุดใหญ่และได้ลงเล่น แถมยังทำประตูได้อีกในนัดที่เจอกับ ฝรั่งเศส คงจะตบหน้าพวกเกจิหลายๆคนที่ปรามาส เจ้าตัวว่ายังไม่พร้อมสำหรับทีมชาติชุดใหญ่ ผมก็แอบหวังลึกๆว่าในอนาคต อัลลี่ จะอยู่เป็นหัวใจหลักให้ทีมเราไปนานๆ พาทีมประสบความสำเร็จได้ในระดับยุโรปไปเลย แต่จังหวะที่โดนใบเหลือง จนทำให้เจ้าตัวพลาดการลงเล่นในนัดหน้า ผมไม่ตำหนิ นะ เพราะเคนโดนโนเบิ้ลขัดขาแบบตั้งใจ การเข้าปกป้องรุ่นพี่ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีของรุ่นน้องแบบ อัลลี่ ยังดีที่มีเรื่องกันใกล้ๆ พอช พอชเลยไปดึงเจ้าตัวออกมาสงบสติอารณ์ได้ เลยไม่ได้บานปลายกันไปมากกว่านี้

แฮร์รี่ เคน คนเดิมของพวกเรากลับมาแล้ว เมื่อความมั่นใจมา ยังไงก็ยิงเข้า นี่คือสิ่งที่เราขาดหายไปในช่วง 4-5 นัดแรก ถึงแม้นัดนี้จะพลาด ลูกหลุดเดี่ยว แบบน่าเขกหน้าผากเหม่งๆของน้องเคน เหลือเกิน !! แต่เอาน่ะ 2 ลูกที่ยิงได้ แฟนๆแบบกระผมก็ให้อภัย พ่อรูปหล่อขวัญใจแห่งไวท์ฮาร์ทเลนคนนี้ แต่ช่วง 10 นาที ท้ายเหมือนเจ้าตัวจะหมดแรงยังไงไม่รู้สิ ดูเนือยๆ จับบอลไม่ค่อยอยู่ แต่ก็โอเคแล้วเล่นมาทั้งเกมแบบนี้ หวังว่าใน ยูโรป้าลีค น่าจะได้พัก ไปรออัดก่ะหอยหักนัดหน้า ที่เพิ่งชนะมาแบบเฉือนๆแต่ดีใจหยั่งก่ะได้แชมป์ ในวันอาทิตย์ 19.00 น.

ทุกคนในทีมกำลังทำหน้าที่ได้ดีในตำแหน่งของตัวเอง มีระบบทีมที่ดีขึ้น มีความเข้าใจในการเล่นระบบของ พอช มากขึ้น นั่นถือเป็นสิ่งที่ดี พวกเราก็หวังว่าในอนาคต ระบบพวกนี้จะเป็นรากฐานให้ทีมเรา เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆและพัฒนาไปอย่างที่มันควรจะเป็น เมื่อทีมรักของพวกเราต่างก็กำลังไปได้สวยแบบนี้ ผมก็อยากให้ทุกท่านมองกลับมาที่หน้าที่ของเราบ้าง หลายๆท่านอาจจะมีภาระ ต่างๆที่ต้องแบกรับมากมาย ในนามผู้เขียน ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้แฟนๆสาวกไก่ ทุกท่าน สู้ต่อไป ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เข้มแข็งให้มากๆ ปัญหาต่างมีทางแก้เสมอ และขอบพระคุณทกท่านที่ติดตามอ่าน บทความของกระผม ขอขอบพระคุณจากใจครับ


ปล.ช่วงนี้ผมมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพต้องขออภัยทุกท่านด้วยครับ ที่หายหัวไปเลย ไม่ค่อยมีเวลามานั่งเขียนเท่าไหร่ แต่จะพยายามอัพ บทความ ให้บ่อยมากขึ้นว่านี้ครับ

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ปากดี บางทีต้องใช้ให้ถูกเวลา


ชื่นมื่นหน้าบาน ยิ้มกันมีความสุขทั้งประเทศ ที่เมื่อวานขุนพลนักเตะทีมชาติไทยชุดใหญ่ของเรา ถล่มทีมชาติเวียดนามไปแบบขาดลอย 3 ประตูต่อ 0 ทั้งที่ทีมเราไปเยือนประเทศเขา เล่นเอาชาวเวียดนาม  เศร้าสลด สีหน้าซีดเซียว เกิดอาการง่วงนอน หนีกลับบ้านไปพักผ่อนกันตั้งแต่นาทีที่ 70 นี่หรือคือฉายา บาซ่า ที่ยกย่องกันเองขนาดนั้น

บาซ่าแล้วไง !!! ลูกที่ 3 ทีมชาติไทยเรา โชว์สเตปเทพ เคาะบอลจ่ายกัน 9 จังหวะ ก่อนจะทะลุไปยิงประตู โดยที่นักเตะทีมเหงียน ได้แต่วิ่งไล่เป็นลิงชิงบอลเปล่าๆ

ก่อนเกมก็ปากดีออกสื่อกันจริง ว่าทีมตัวเองเก่งอย่างงั้นอย่างงี้ ว่าทีมชาติไทยเราอ่อนอย่างนั้นอย่างนี้  แล้วเป็นไงล่ะ !! ผลงานในสนามเป็นบทพิสูจน์ ตอกหน้าประชาชน หงายเงิบกันไป เหอๆ

ถ้าจะเทียบเมื่อ 10-15 ปีที่แล้ว ลีกเวียดนามถือเป็นลีกที่พัฒนาได้อย่างถูกต้องสุดๆในอาเซียน นักเตะต่างชาติมากมายต่างไหลเข้าไปค้าแข้งกันในวีลีก(เวียดนาม ลีก) เพื่อยกระดับ รวมไปถึงค่าเหนื่อยในลีคนั้นสูงมากๆ ยิ่งนักเตะต่างชาติก็ยิ่งได้ค่าจ้างสูงถึงหลักล้านเลยทีเดียว

ผมเคยอ่านบทสัมภาทของ “ โค้ชซิโก้ ” โดยนักข่าวถามไปว่า ทำไมถึงทิ้งลูกและเมียไปทำงานเป็นโค้ชให้กับ ทีม ฮอง ฮันห์ ยาลาย ในวีลีก คำตอบของซิโก้นั้นก็คือ “ นอกจากความท้าทายในการเป็นโค้ชแล้วรายได้ก็เย้ายวนใจ ซิโก้ยอมรับตรงๆว่าทั้งเงินเดือนและโบนัสนั้นจ่ายให้เยอะมาก โดยจ่ายนัดที่ชนะ นัดละ 2 ล้านบาท

ด้วยการลงทุนของเศรษฐีนักธุรกิจในเวียดนามอาจจะทำให้ประชาชนสนใจและสนับสนุนทางด้านกีฬาฟุตบอลมากขึ้น แต่อย่าลืมว่าเม็ดเงินนั้นซื้อความสำเร็จไม่ได้เสมอไป ซึ่งก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ ฟุตบอลของเวียดนาม ยังคงอยู่ใต้เงาของทีมชาติไทยต่อไป

ถึงแม้ว่าลีกประเทศเราจะ ก่อตั้งมาทีหลังแต่ ด้วยระบบรากฐานและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงวิทยาศาสตร์การกีฬา และการจัดรูปแบบลีกอาชีพที่ดี ทำให้ทีมชาติของพวกเราเล่นกันได้อย่างเป็นระบบ สร้างบุคลากรทางการกีฬาขึ้นมาทดแทนได้เรื่อยๆ ถือเป็นเรื่องที่น่ายกย่องของวงการกีฬาบ้านเรา ถึงจะมีผู้บริหารที่ เหี้ย สุดๆ อยู่ก็เถอะ !!!

ตามดูจากแฟนบอลทีมเวียดนามที่โม้ก่อนเกมจะเจอเราเนี่ย ทำให้ผมสะกิดใจเล็กๆ 555 ถ้าจะให้พูดถึงการโม้ คงนี่ไม่พ้นแฟนบอลของทีมทีมนึง ซึ่งไม่รู้จะหาคำบรรยายอะไรในการ มโนภาพ ทีมตัวเอง ได้ ดีมากๆ นั่นก็คือ เครื่องจักรสีแดง ลิเวอร์พูล นั่นเอง

ในวันเสาร์นี้ทีมเราก็จะเปิดบ้านรับน้อง กับ โค้ชคนใหม่ที่ว่ากันว่าเทพที่สุดคนนึงในโลก อย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ นำทีมลิเวอร์พูล บุกมาเยือนเป็นเกมแรกในพรีเมียร์ลีคของเจ้าตัว ว่ากันว่า อาถรรพ์บอลเปลี่ยนโค้ชนั้นเฮี้ยนสุดๆ แต่ก็นะทีมเรากลัวซะที่ไหนยิ่งตอนนี้ เราได้ เทพบุตรฟรีคิก อย่าง คริสเตียน อีริคเซ่น หายเจ็บกลับมาแล้ว เกมรุกทีมเราจะน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม

วันเสาร์นี้ล่ะจะได้รู้กันว่า บอลเปลี่ยนโค้ช กับบอลฟอร์มดี ใครจะเป็นฝ่ายเอาชนะได้ แต่ที่ผมห่วงอยู่อย่างเดียวก็คือ นักเตะทีมเราได้ลงเล่นในทีมชาติมา อาจจะเกิดอาการล้าได้ แต่ก็อย่าได้ประมาทกับเกมนัดนี้ก็แล้วกัน เพราะเบื่อพวกขี้โม้ ปากดี หลังจาก วันเสาร์ไปเนี่ยนะสิ....... !

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

หวังว่าจะเหมือนกันนะ ซนนี่

          ก่อนอื่นเปิดหัวด้วยข่าวดีกันเลยนะครับ ของแสดงความยินดีกับ เอริค ดายเออร์ ดาวรุ่งพุ่งแรง อนาคตของทีม ที่ได้รับการขยายสัญญาออกไปถึงปี 2020 เลยทีเดียว แต่ค่าเหนื่อยเท่าไหร่อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แหะๆ ก็ขอให้อย่าเจ็บอย่าป่วย ฟอร์มดีขึ้นเรื่อยๆกับตำแหน่งกองกลางตัวรับในปีนี้ จนติดทีมชาติทุกนัดไปเลยนะไอ่หนู อิอิ


         ช่วงนี้ก็เงียบเหงาซะเหลือเกิน ตลาดซัมเมอร์ก็ปิดตัวลงแล้ว พักเบรกทีมชาติก็เข้ามาแทนที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่งๆดูไปก็ แปร๊บ!! ขึ้นมาในหัว เรื่อง นักเตะที่ย้ายมาจาก บุนเดสลีกา

          จะว่าไปนักเตะที่มาจาก ลีคเยอรมัน หรือ บุนเดสลีกา มักจะมาดับที่พรีเมียร์ลีคซะส่วนใหญ่ ไม่ต้องไปมองที่ไหนไกลเลยทีมเราเนี่ยแหละ เลวิส โฮลบี้ นั่นไง !!! พูดไปแล้วก็นึกเสียดายเป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมทางอารมณ์กับทีมเราสูงมาก 555+ (ย้ำว่า ทางอารมณ์)

          และก็ยังมีพวกซุปเปอร์สตาร์ทั้งหลายที่มาแล้วดับอย่าง มาร์โก้ มาริน , อันเดร เชือร์เล่ , เคาร์ดิโอ ปิซาโร่ , เจอโรม บัวเต็ง , ชินจิ คากาวะ , อินดี้ เซโก้ และอีกมากมายนับไม่ถ้วน  แต่ คากาวะ กับ เซโก้ เนี่ยส่วนตัว ผมว่า เจ้าตัวก็ทำได้ดีในพรีเมียร์ลีคนะ น่าจะเอาตัวรอดได้สบาย แต่ด้วยความมืดบอดของในตาโค้ชรวมไปถึงระบบทีมของแต่ละทีมไม่เหมือนกัน ทั้ง 2 เลยต้องแยกย้ายไปหากินที่ประเทศอื่นกันต่อไป

          แต่ที่ย้ายมาแล้วเล่นดีก็มีอยู่ ยกตัวอย่าง เช่น มิชาเอล บัลลัค , เยนส์ เลห์มันน์ ถ้าสมัยนี้ก็มี เอ็มเร่ ชาน และอีกหลายๆคนที่รอพิสูจน์ผีเท้า อย่าง โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ , เควิน เดอ บรอยน์ ว่าจะอยู่รอดในลีคอังกฤษได้หรือไม่ 

          ทีมเราก็มีอยู่ 1 คน ที่ย้ายมาจากบุนเดสลีกาแล้ว กลายเป็นมหาเทพของทีมในสายตาของผมในตอนนั้น จะบอกว่าเกลียดมันมั้ย? ก็ไม่ใช่ จะชอบมันมั้ย? ก็ไม่เชิง นั่นคือ ไอ่เถิก ดิมิทาร์ เบอบาตอฟ ฉายา จูดาส คนที่ 2 นั่นเอง

          สมัยนั้นผมพูดได้เต็มปากเลย ว่า “ มันเป็นใครวะ “ จะว่าผมบ้านนอกก็ได้นะ แต่ในยุคสมัยนั้น การติดตามข่าวสารหรือฟอร์มการเล่นนักเตะจาก ลีคอื่นๆค่อนข้างจะลำบากพอสมควร เพราะมือถือผมยังใช้โนเกีย จอ ขาว-ดำ อยู่ 2จี3จี ไม่รู้จักหรอก (บ้านนอกสุดๆ)

เก็กหล่อ ถ่ายรูปในสีเสื้อของทีมเราครั้งแรก

          เราดึง ไอ่เถิกตอฟ จากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 16 ล้านยูโร หรือ10.9 ล้านปอนด์  ในปี 2006  ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเอามากๆสำหรับตัวผมเอง ณ เวลานั้นแต่ก็เอาน่ะใครจะมาเราก็เชียร์ทั้งนั้น ในใจก็พลางคิดว่า “ นี่มึงยังไม่เข็ดกับ เซอร์เก เรบรอฟ อีกหรือ ? (เรบรอฟ ราคา 11 ล้านปอนด์)

          แต่สุดท้าย เทพก็เป็นเทพ สกิลตีนตะขอ การจับบอลที่นุ่มนวล เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจของบรรดาแฟนๆทั่วโลก เบอบาตอฟ จับคู่กับ ร๊อบบี้ คีน ได้ลงตัว อย่างก่ะ ผัดกะเพราหมูสับที่ด้วยราดพริกน้ำปลาพร้อมเสริฟ ทั้ง 2 คน ถล่มประตูคู่แข่งเป็นว่าเล่น จนได้ใจแฟนๆกันไปถ้วนหน้า เปรียบประดุจมหาเทพเลยทีเดียว ใน ยุคสมัยของ มาติล โยล

          ของทีมเราเองก็มีก่ะเค้าเหมือนกัน นั่นคือ 2 หนุ่ม เควิน วิมเมอร์ ก่ะ ซน ฮึง มิน ที่ย้ายมาจาก เอฟซี  โคโลญจน์ และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในฤดูกาลนี้ คนแรกมาเพื่อเป็น Back up ของ แฟร์ทองเก้น ในการเล่นเซนเตอร์ฝั่งซ้าย คนที่ 2 มาเพื่อเติมมิติในเกมบุกเพราะเจ้าตัวเล่นได้ทั้งตัวรุกซ้ายขวารวมไปถึงหน้าเป้าด้วยและยังต้องแบ่งเบาภาระการทำประตู ที่ตอนนี้ มองหาในทีมก็คงมีแค่ แฮรี่ เคน เพียงคนเดียว

          ก็หวังว่า ซน ฮึง มิน หนุ่มตาตี่ที่มาจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จะทำได้ในระดับแบบที่ ไอ่เถิก ตอฟ ทำก่ะทีมเรา แต่ไม่ย้ายไปเปรตแดงนะ 555  ก็ภาวนาล่ะครับ ซน เอ๋ย ซนนี่ มาทำให้แฟนๆใน ไวท์ ฮาร์ท เลน ตะโกนเรียกชื่อดุจเทพเจ้าอีกครั้งด้วยเถิดดดดดดดดดดดดดดดดดดด สาธุ !!!!

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เมสซี่กิมจิ

          ช่วงนี้กระแสข่าวการซื้อตัวร้อนแรงกันเหลือเกิน กระผมเลยขออนุญาตอัพเดทตามเทรนกันซักหน่อยนะครับ 555+ หลังจาก มหากาพย์ดราม่า ไซโด้คุง กับ WBA ไม่จบไม่สิ้นกันซักที จนแฟนๆแบบเรานั่งกัน “ คอยห้วย ” กดปุ่ม F5 พังกันเป็นแถบๆ ไม่ได้หลับได้นอนกัน ยังไงก็ใจเย็นๆค่อยๆเสพข่าวกันไปเรื่อยๆเนอะ

          ไม่รู้ว่าเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สของ ตาหม่ง เลวี่ รึป่าว จู่ๆชื่อ นักเตะดาวรุ่งเอเชียคนนึง อย่าง ซอง เฮือง มิน (คนส่วนใหญ่จะอ่านนะแบบนี้) ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นว่าจะย้ายมาทีมเราภายใน 48 ชม.(อีกแล้ว เหรอ !!!) อีตอนแรกกระผมก็คิดว่าอาจจะแค่ลือกันไปรึป่าว ไปๆมาๆ อย่างที่โบราณว่าไว้ “ ไม่มีมูล หมามันไม่ขี้หรอก ” หลายๆคนอาจจะกรี๊ดแต๋วแตกแหวกดาก แต่บางท่านอาจจะ งงๆ ว่าไอ่นี่มันเป็นใครฟระ ? 555 ถ้าเป็นพวกที่เล่น FM คงจะพอรู้กันว่า เจ้าหนูคนนี้ แม่ง ! พลังโคตรเยอะ เรียกได้ว่าเป็น Wonderkids คนนึงในเกมส์เลยล่ะ ว่าแล้วมาดูชีวิตเจ้าหนูคนนี้ดีฝ่า


ชื่อ Son Heung Min ( ซน ฮึง มิน )
ประวัติส่วนตัว
เกิด 8 กรกฎาคม 1992 (อายุ 23 ปี)
สูง 183 เซนติเมตร     หนัก 78 กิโลกรัม
ตำแหน่ง กองหน้า / ปีกซ้าย
ฤดูกาล 2014-2015 ยิง 11 ประตู จ่ายแอสซิท ไป 2 ลูก
เลี้ยงบอลผ่านคู่ต่อสู้  1.7 ครั้ง ต่อเกม
คิลเลอร์ พาส 1.4 ครั้งต่อเกม

          เริ่มต้นอาชีพฟุตบอล กับ Academy ของสโมสร FC Seoul U-18  ในประเทศเกาหลีใต้ จนไปเตะตาแมวมองของ ฮัมบูร์ก  จัดการดึงมาปั้นในเยอรมัน ด้วยวัยเพียง 16 ปี เท่านั้น ! ด้วยที่เป็นเด็กจากเอเชียการปรับตัวอาจจะยากและเป็นอุปสรรค แต่กับเจ้าหนู ซน ฮึง มิน มันไม่ใช่ปัญหาเลย เขาปรับตัวเข้ากับสไตล์ฟุตบอลเยอรมันได้ดีเสียด้วย จนเพื่อนๆ Academy ในฮัมบูร์กตั้งฉายาว่า “ เมสซี่กิมจิ

          ตำแหน่งที่ ซน ฮึง มิน เล่นในตอนนั้น  เป็นตำแหน่งหน้าเป้าตัวสไตรเกอร์ แต่ด้วยทักษะพลิ้วไหวเหลือเกิน ในกรอบเขตโทษ บวกกับการขยับหาจังหวะในทำประตูคู่แข่ง และเทคนิคการดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตู เป็นผลให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมทีมและบรรดาสต๊าฟโค้ชของฮัมบูร์ก

          ด้วยฟอร์มที่โดดเด่นนี้เหมือนเป็นใบเบิกทางให้เจ้าหนูคนนี้ได้ร่วมเล่น ปรีซีซั่นกับทีมชุดใหญ่ของฮัมบูร์ก แถมยังทำผลงานได้ร้อนแรง จนถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ในปี 2010 ด้วยวัยเพียง 18 ปี !! โดยได้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าร่วมกับ มลาเดน เปตริส  ตลอดเวลา 3 ฤดูกาลลงเล่นให้ ฮัมบูร์กไป 73 นัด ยิงไป 20 ประตู (2010 - 2011 ยิงไป 3 ประตู , 2011 - 2012 ยิงไป 5 ประตู , 2012 - 2013 ยิงไป 12 ประตู)

          จนทีม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น อดรนทนไม่ไหว ต้องยกขันหมากมาสู่ขอด้วยราคา 10 ล้านยูโร เพื่อทดแทนตำแหน่งของ อังเดร ชูเล่ ที่เก็บข้าวของย้ายไปนั่งดองเค็มกับเชลซีที่อังกฤษ หลังจากซื้อมาทางสโมสร เลเวอร์ เองก็ถูกโจมตีอย่างหนักจากแฟนๆว่า ทำไมต้องลงทุนกับดาวรุ่งเอเชียอายุเพียง 21 ปี คนนี้ฟระ ! ราคาถึงหลัก 10 ล้านยูโร เลยรึ ???

          แต่แล้วเพชรย่อมเป็นเพชร ซน ฮึง มิน โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยใช้ฝีตีนตบหน้าพวกที่ปรามาสในฝีเท้าของนักเตะเอเชียคนนี้ เป็นไงล่ะมึง !!(อันนี้แถมเอง 555) ถึงแม้จะถูกโยกมาเล่นหน้ากึ่งปีกซ้ายในระบบ 4-3-3 ก็ยังรักษาความร้อนแรง สะเด่า เขย่าหัวนมแฟนๆให้ฟินเคลิ้มกันไป โดยลงเล่น 17 นัด และทะลวงประตูให้ ทีมห้างขายยา ไป 10 ประตู ในฤดูกาล 2013 - 2014

          ก่อนจะย้ายมา ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซน ฮึง มิน ก็เหมือนแกะน้อยที่อยู่กลางป่า เป็นที่หมายตาของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ที่รอขย้ำ ทั้ง แมนยู ลิเวอร์พูล แมนซิตี้ และไม่ก็พ้นทีมเรา ไก่จอมเจ้าชู้เป็นอีก 1 ในทีมจากอังกฤษ ที่ส่งแมวมองไปจับตาดูฟอร์มอย่างใกล้ชิด แต่สุดท้ายท้ายสุด เจ้าตัวก็เลือกทีมห้างขายยา เพราะต้องการเล่นบอลยุโรปและยังไม่พร้อมย้ายออกจากเยอรมัน ประมาณว่าขอเก็บเลเวลอีกซัก 2-3 ปีที่เยอรมันแล้วค่อยว่ากัน แม้ แมนยู ลิเวอร์พูล ดอร์ทมุนต์ และเรา จะยื่นซื้อไปแล้วก็ตาม

          “ ผมไม่สนว่าผมจะได้เล่นตรงไหน หน้าเป้า หรือ หน้าต่ำ ขอแค่ได้ลงเล่นทุกเกม ไม่ว่าโค้ชจะบอกอะไร ผมพร้อมจะทำตาม ผมไม่มีตำแหน่งที่ผมชอบเล่นเป็นพิเศษ แค่ได้ลงเล่นแค่นั้นก็พอแล้วสำหรับผม ” จากบทสัมภาษณ์ตอนที่ย้ายมา ทีมห้างขายยา ใหม่ๆ พูดแบบนี้ แฟนๆไม่รักก็ให้มันรู้ไป ปากหวานใช้ได้ 555+

          มีบทสัมภาษณ์บางส่วนจาก FourFourTwo ถาม ซน ฮึง มิน ว่า “ เสียใจที่ไม่ได้เติบโตที่เกาหลีใต้หรือไม่และมีเพื่อนนอกเหนือจากวงการฟุตบอลบ้างรึเปล่า ? ” เพราะเจ้าตัวย้ายมาอยู่เยอรมันตั้งแต่ อายุ 16 ปี ซน ฮึง มิน ตอบว่า “ ผมไม่เคยสงสัยหรือนึกเสียใจกับการตัดสินใจของผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกอย่างหนึ่งก็คือผมคิดว่าแม้จะอยู่ที่เกาหลีแต่ผมก็คงไม่มีเพื่อนนอกวงการฟุตบอลมากนักหรอก เวลาอยู่บ้านผมก็ไม่ค่อยจะมีเวลาไปเจอใครนอกจากเล่นฟุตบอลอยู่แล้ว เพราะผมต้องซ้อมเกือบตลอดเวลาและที่เยอรมันก็ไม่ต่างกัน ” สรุปคร่าวๆก็คือไอ่หนูนี่วันๆมันคิดแต่เรื่องฟุตบอลแล้วก็ซ้อมๆๆ เพื่อนก็มีแต่เพื่อนในทีมเท่านั้น ถือว่ามีความมุ่งมั่นมากๆ

          สุดท้ายแล้ว จะได้หรือไม่ได้ตัวมา ก็ต้องลุ้นกันต่อไปกับเวลาที่เหลือ ที่ผมยกเรื่องนักเตะคนนี้มาก็เพราะผมได้อ่านบทสัมภาษณ์แล้วรู้สึกว่า เขาเป็นนักเตะที่ดี มีความมุ่งมั่นมีความกระตือรือร้นในการลงสนามและการทำทุกอย่างเพื่อทีม ซึ่งต่างจาก นักเตะของทีมเราคนนึง ที่วันๆไม่ทำห่าอะไร นอนกินเงินเล่นๆ ไปเที่ยวโน่นนี่ อย่าง อเดบายอ แทนที่จะแสดงสปิริตความเป็นมืออาชีพให้เห็นมากกว่านี้ คิดแล้วเหนื่อยใจกับมัน ภาวนาให้มันไปจากทีมเราเร็วๆละกัน สาธุ !!!

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ล่า เอ๋ย ล่า


เจ้าหนู อัลลิ ผู้เบิกประตูแรกให้ทีม ออกนำไปก่อน
          ณ ตอนนี้ ผมขอแสดงความยินดีกับเจ้าหนู เดเล่ อัลลิ ที่ทำประตูแรกของตัวเองให้กับทีม ถึงจะไหลเข้าไปทั้งบอลทั้งคน ก็ยังดูดีล่ะนะ หลังจากที่อึดอัดมาทั้งเกม พอทีมเรายิงเข้าเท่านั้นแหละ ผมนิกำหมัดแน่น yes! yes ! อยู่ในลำคอ ก่ะว่า ได้ 3 แต้มแล้วโว้ย

          ดีใจยังไม่ทันได้หุบยิ้ม เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งกันอีกแล้ว จังหวะที่ ริยาด มาห์เรซ กระชากลากบอลยิงเข้าตุงตะข่ายทีมเรา ในหัวตอนนั้นหลุดมาเพียงคำเดียวเท่านั้น " สัส ! "  คำคำนี้หลายๆคนคงคิดเหมือนกัน บางท่านอาจจะขั้นเอ่ยชื่อตัว Varanus salvator นั่นก็คือสัตว์เลื้อยคลานตระกูล Varanidae ที่อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำและกินซากสัตว์ที่ตาย หรือเรียกสั้นๆว่า “เหี้ย” นั่นเอง ปากผมนิขยับพูดคำว่าเหี้ย แต่ไม่มีเสียงออกมาก เพราะนั่งดูกับญาติผู้ใหญ่หลายคน เดี๋ยวจะพาลโดนด่าเอาเปล่าๆ

          คอลัมน์ที่แล้ว ผมเพิ่งบ่นๆไป เกี่ยวกับเรื่อง สมาธิกับเกมและจิตวิญญาณความเป็นผู้ชนะ นัดที่แล้วโดนไป 2 เม็ด มานัดนี้นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ ฝั่งเลสเตอร์ได้ประตูตีเสมอซะงั้น! เวรเอ๋ย เวรกรรม (T__T)  เบน เดวิส และ แฟร์ทองเก้น รับไปเต็มๆ เกมนี้ทีมเราโดนเจาะทางฝั่งซ้ายตลอด โดย ริยาด มาห์เรซ ซึ่งต่างจากเกมที่แล้วที่เราโดนเจาะทางฝั่งขวา โดย มาร์โค อาร์เนาโตวิช น่าแปลกมั้ยล่ะครับว่าทำไมแบ็คเรากลายเป็นจุดอ่อน

          นี่ทีมเราเสริมหลังนะแล้วแต่ทำไม เกมรับยังลุ่มๆดอนๆแบบนี้ ถ้าเจอเชลซีที่มีมหาปีกอย่าง ฮาซาร์ด ก่ะ เปรโดร นิไม่วิ่งกันลิ้นห้อยเลยหรือไร คำล้า ชาดลี่ หายเลย ไหงไม่วิ่งมาช่วยเกมรับกันมั่ง

          ชาดลี่ มัวแต่กดสูตรอยู่เหรอ ? หายทั้งเกมจะมาเห็นเอาก็ตอน ตูมยิงเข้าไปแล้ว คำล้า นี่บอกเลย ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ให้มันลึกซึ้งไม่ต้องบรรยายอะไร ให้สวยเลิศเลอ มาเป็นเพลงเลย วุ้ย! อยากจะบอกว่า ล่า เอ้ยยยย ล่า หนูลงไปเล่นอะไรลูก !!! เลี้ยงๆล้มๆ แถมไปเสียบเขาแบบไม่จำเป็นจนโดนเหลืองอีก มีจังหวะนึง จ่ายเสียให้ทีมเขาบุกสวนกลับ จน ดายเออร์ จำเป็นต้องตัดเกม โดนเหลืองฟรีไปอีกคนซะงั้น


          ได้ 1 แถมยังให้เพื่อนอีก 1 !! ฟอร์มดีจริงๆ ถถถถถถถถถถถถุ......!! ใบเหลืองโว้ยยยย ไม่ใช่ ทำประตู !! จ่ายแบบนี้ถ้าผมเป็น พอช นะ จะสั่งให้คำล่า จีบมือแล้ว ตีด้วยด้ามแปรงลบกระดานซะ 10 ที เอาให้เข็ดให้หลาบจำกันไปเลย

          กว่าจะท่านพี่พอช จะกัดฟันแข็งใจเปลี่ยนตัวออกก็ก็นาทีที่ 65 แล้ว เป็นโอกาสของเจ้าหนู อัลลิ จะได้โชว์เสียที ลงไปแค่ 16 นาที ดันทะลึ่งยิงได้ !! แหมๆ ไอ่หนูเอ้ยยยย ไม่เกรงใจ คำล่า มั่งเลยนะครัช !! แฟนๆแบบเราๆก็คงจะเห็นความแตกต่างใช่มั้ย ?? ระหว่างมีคำล่า กับ ไม่มีคำล่า ในสนาม

          อยากจะรู้จริงๆว่าเวลาซ้อม คำล่า แสดงศักยภาพ ออกมาเจิดจรัสมากขนาดไหนกันเน้ออออออ ถึงเอาชนะใจพอชได้ ถ้าผมได้ไปนั่งดู คำล่า เวลาซ้อมก็คงดี จะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นๆ เป็นตัวหนังสือแบบนี้ อุ้ย !!! ตื่นๆๆๆ ฝันกลางวันแท้ๆ ผมน่ะติ่งลาเมล่านะ แต่ถ้าเล่นได้แบบนี้ ผมก็สมควรจะโดนวิจารณ์แรงๆล่ะ


          จากสถิติหลังเกม ทีมเราสร้างโอกาสยิงได้ถึง 19 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง ได้โอกาสยิงในกรอบเขตโทษตั้ง 12 ครั้งแน่ะ! แต่เปลี่ยนเป็นประตูได้ แค่ 1 ลูก ซึ่งแตกต่างกับเจ้าบ้านเลสเตอร์ ที่ ยิงเข้ากรอบเพียง 2 ครับ แต่เป็นประตูเลย เหอๆ รุกก็ไม่น่ากลัว รับก็รั่วจัง คิดแล้วเครียดแทน พอช จริงๆ ครับ

          ผ่านไปอีก 1 เกม กับอีก 2 แต้มที่เราพลาด(อีกแล้ว) นัดหน้าเล่นในบ้านก็จริงแต่ก็ไม่ใช่งานง่าย ที่จะเอาชนะทีมอย่างเอฟเวอร์ตัน นัดหน้านัดที่ 4 ถ้ายังเอาชนะไม่ได้ผมว่า กระแสดราม่าเรื่องไล่พอชก็คงจะมีมาอีกเรื่อยๆไม่หยุดหย่อนแน่ๆ


          ดีล ไซโด้ เบราฮิโน่ เมื่อไห่รจะแล้วเสร็จเสียที แฟนๆก็คอยกันจน “คอยห้วยยยยย” แล้วเนี่ย เลวี่ !!!!!

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เหมือนเดิมและวังวนเดิมๆ


คอลัมน์นี้ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่าผมเขียนจาก ในมุมมองของผมนะ ขอย้ำอีกทีว่ามุมมองของผม !!

คำถามที่ผุดวิ่งขึ้นมาในหัวตอนจบเกม ที่เราเปิดบ้าน ยันเสมอกับ สโต๊ค ซิตี้ ย้ำอีกทีนะครับว่า “ยันเสมอ”

คำถามเหล่านั้นที่อยู่ในหัวของผมก็คือ ทำไมเราปิดเกมไม่ได้ ? ทำไมถึงโดนตีเสมอ ? ทำไมเปลี่ยนเคนออกล่ะ ? ทำไมเอาเบนทาเลบลงมา ?

ผมขอจัดประเด็นออกเป็นข้อๆได้ดังนี้นะครับ

เคน เจ็บ แตกประเด็นนี้ออกมาก่อนนะครับ เพราะค่อนข้างจะเป็นตัวแปรสำคัญ ของรูปเกม ก่อนเคนจะเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกไป เคนมีโอกาสที่จะทำให้ทีมเราขึ้นนำเป็น 3 – 0 แต่ก็ทำไม่ได้ ติดเซพไป ซึ่งในความคิดของผม ถ้าเคนไม่เจ็บและยังอยู่ครบจน 90 นาที ทีมเราจะชนะแน่นอน เพราะเคนมีส่วนกับเกมรุกทีมเรามากก่อนหน้าที่จะถูกเปลี่ยนตัวออก บางจังหวะจะเห็นว่าเคนลงมาล้วงลูกจากแดนกลางเพื่อหนีตัวประกบแล้วต่อบอลหรือหยอดให้เพื่อนวิ่งไปเก็บ หลายๆท่านบอกว่าพอไม่มี เคน ทีมเราเลย ยวบ โดนตีเสมอ ผมขอบอกว่า ใช่ครับ ! ไม่มีเคนทีมเราเลยยวบ เพราะว่าทีมเราพึ่งพาแค่เคนมากเกินไปรึเปล่า? คือบางทีเกมมันตันๆเจาะไม่เข้า ผมก็เห็นมีเคนเนี่ยแหละ ถอยต่ำมาปั้นเกมบุกให้ทีม แล้วผู้เล่นที่เหลือล่ะ มัวทำอะไรอยู่ ชาดลี่ เดมเบเล่ อีริคเซ่น เพิ่งพาไม่ได้เลยเหรอ ? มันน่าด่าก็ตรงนี้ล่ะครับ ทั้ง 3 คนหลังกองหน้า พอเคนไม่อยู่แล้ว เล่นเหมือนไม่เคยเล่นด้วยกันมาก่อนรึไง เล่นกันมาเป็นปีแล้วนะ ชุดนี้น่ะ ถ้าทำได้แค่นี้ก็น่าตำหนิล่ะครับ

ทำไมโดนตีเสมอ ประเด็นนี้ต้องมา 2 กรณีครับ กรณีแรกคือตั้งแต่เราถอดเคนออก เราปล่อยให้เขาบุกมากไป หรือเป็นเพราะเราผิดพลาดกันเอง จะว่าปล่อยให้เขาบุกมากมันก็ใช่ครับ แต่มันเพิ่งจะมามีในครึ่งหลัง แต่ครึ่งแรกเราบุกมากกว่า แต่เขาสวนกลับมามีเสียวตลอด แม้แต่คนพากย์ยังบอกเลยว่า ทีมเราอยู่ในกรอบ 4-6 คน แต่ สโต๊ค มี 2 คน ยังได้โหม่ง น่าแปลกมั้ยล่ะครับ สโต๊คมีโอกาสโหม่งตั้งหลายครั้งจนมาเข้าเอาลูกตีเสมอเนี่ยแหละ ใครบอกคู่แยน – โทบี้ เล่นดีอันนี้ผมเห็นด้วยครับ ถ้ามันเป็นลูกบนพื้นนะ คู่นี้เล่นดีมากครับ แต่ลูกกลางอากาศเราโดน ชิงโหม่งซะพรุนเลย ดีที่แรกๆตรงตัวโยริส ไม่งั้นคงทีมเราโดนมากกว่านี้  จะบอกว่าเขาโยนมาแบบนั้น มันเป็นจุดเกรงใจ ผมว่าไม่นะ ทีมเราซ้อมกันมานานแล้ว สถาณการณ์แบบนี้ มันไม่ใช่เกรงใจครับ มันเรียกว่า “พลาด” ครับ

ทำไมเอา เบนทาเลบ ลงมา เรื่องนี้ผมไม่ทราบจริงๆครับ ว่าพอชคิดอะไรอยู่ ผมดีใจมากที่ดรอปเด็กเส้นคนนี้เป็นสำรอง เพราะนัดที่แล้ว แม่ง ! เล่นหมาไม่แดกเลย ตอนแรกก็เข้าใจว่าคงจะเปลี่ยนมาแทน เดมเบเล่ ที่ครึ่งหลังดูเงียบๆไม่ค่อยมีส่วนกับเกมเท่าไหร่ กลับกลายเป็นว่าลงแทน เมสัน ที่ ทำได้ดีในเกมนี้ซะงั้น !! เมสันเจ็บ หรือ เล่นไม่ไหว งั้นรึ ? เออ เอาเข้าไป พอชเอ้ยพอช  !! ถ้าเปลี่ยน เบนทาเลบ มาแทนเคน แล้วแพ็คแดนกลางให้แน่น ยันสกอร์ไว้ที่ 2-0 ผมว่าแฟนๆคงจะไม่หงุดหงิดแบบนี้หรอกนะ นี่ลงมาก็ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่รู้ผีห่าซาตาน ตนไหนไปดลใจ ให้แก้เกมแบบนี้ นิถ้าเราไม่ได้ UCL เพราะ 2 คะแนนนี้นะ พอชคงโดนเละล่ะครับ

ผ่านมา 2 นัดแล้ว สิ่งที่ผมเห็น ก็คือ เวลาเราเสียปุ๊บ ทีมเราเหมือนจะช๊อต เอาดื้อๆ เล่นกันไม่เป็นทรงเลย สมาธิกับเกมและจิตวิญญาณความเป็นผู้ชนะ ทีมเรายังขาดตรงนี้ครับ ต้องรีบแก้ไขได้แล้ว ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมามัวทำอะไรกันอยู่ !! ช่วงเวลาช๊อปนักเตะ เขามีให้ 8 สัปดาห์ แต่นี่ผ่านมา 6 สัปดาห์แล้ว !! ก็รู้ว่า กองหน้ามีคนเดียว ก็ยังจะนิ่งไม่กระดิกอะไร แผนสำรองโดยการเอาชาดลี่ เล่นหน้าเป้านั้น ไม่เวิคเอาซะเลย !! จะต่อให้ทีมอื่นไปก่อนว่างั้น  ถ้าพอชยังแก้ปัญหาของทีมไม่ได้ ก็คงต้องโบกมือลากัน แล้วทีมเราก็กลับไปสู่วังวนเดิมๆเหมือนที่มันเป็นมาตลอดแล้วล่ะ

ปล. ผมน่ะไม่กล้าเขียนที่จะออกแนวว่าให้ทีมแบบนี้หรอกนะ เพราะกลัวจะโดนกะรแส ปกป้องทีมจากหลายๆคน แต่หนนี้ไม่ไหวจริงๆ หลังจากที่ดราม่ากันในเฟสทั้งคืนตามอ่านกันเกือบจะไม่ทัน ผมอยากจะฝากถึงหลายๆท่านในกลุ่มเฟสนะครับ

ผมไม่มีเจตนาพาดพิงถึงใครคนใดคนหนึ่ง แต่ผมอยากจะพูดว่า “ พวกเราทุกคนมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นครับ พวกเรามีสิทธิ์ที่จะพูดจะบ่น แต่จะออกมาในรูปแบบคำพูดแบบไหนนั้น อันนี้มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลพิจารณากันเอาเอง เขาด่าทีม เขาด่าผู้จัดการทีม เขาด่าประธานทีม เขาไม่ได้ด่าคุณ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปไล่เขาหรือไปว่าเขา ไม่ชอบไม่ถูกใจก็ไม่ต้องไปอ่านมองข้ามไปเลยครับ ผมคนนึงแหละที่ไม่ชอบให้ใครมาด่าทีม แต่ผิดก็ว่าตามผิด ผมอ่านและเปิดใจรับทุกความคิดเห็นครับ ”


ทั้งหมดเนี่ยมาจากความคิดส่วนตัวของผมที่อยู่มานานมาก เรียกได้ว่ารุ่นแรกๆก็ว่าได้ ใครจะเห็นต่างหรือจะแย้งอะไร ก็ไปเม้นในเฟสกลุ่มได้เลยครับ เจตนาผมไม่ได้อยากเห็นพวกเราทะเลาะกันและไม่อยากทะเลาะกับใคร แต่มันหลายทีแล้ว เถียงกันไปๆมาๆไม่จบไม่สิ้น มองไปที่เสาร์หน้าก็พอ ชนะให้ได้ แค่นั้น จบ !!

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

2 Weeks & 2 Players ?


          วันหนึ่งของเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ราวๆช่วงหน้าหนาวกระมัง ผมไปจิบน้ำเก๊กฮวยบูด แบบสบายๆ ซึมซับบรรยากาศ น้องๆหนูๆสาวๆสวย ณ ร้านแห่งหนึ่ง เผอิญวันนั้นทางร้านถ่ายทอดสดคู่ นิวคาสเซิ่ล พอดี ก็เลยรับชมไป จิบไปพลางหยิบถั่วปากอ้าที่เตรียมมาจากบ้านเข้าปากเป็นระยะ ซักพักมีลุงคนนึงสะกิดบอกว่า ไอ่หนุ่ม !! อย่ายืนบังลุงสิ ! มาทีหลังเอ็งไปยืนข้างหลังโน่นไป ! ผมเลยได้แต่ทำหน้าเจื่อน แหะๆ แล้วเขยิบเบี่ยงๆไปด้านข้าง (สรุปว่ายืนดูนอกรั้วร้านน่ะครับ แหะๆ)

          วันนั้น นักเตะของนิวคาสเซิ่ลที่สะดุดตาผมเป็นที่สุด รู้สึกจะชื่อ แซมมี่ อเมโอบี้ เล่นตำแหน่งปีกซ้าย ด้วยเทคนิคการกระชากลากเลื้อย ทั้งความเร็วเวลาไปกับบอล ในนัดนั้นหมอนี่มันเด่นที่สุดในเกม  แถมผิวสีอีกด้วย

          ผมก็เลยคิดเล่นๆว่าถ้าทีมเรามีปีกสไตล์ ถึก บึก ดำ เร็วจิ๊ดๆ เนี่ย ก็คงจะดีไม่น้อย(ไม่นับ แดนนี่ โรส นะ เพราะตอนนี้กลายเป็นแบ็คซ้ายไปแล้วจ้า) ตอนนั้นมันก็แค่คิดเล่นๆในหัวน่ะครับ ไม่คิดว่าทีมเราจะซื้อมาจริงๆ ตอนที่มีข่าวกับ แอนโทนี่ มาติยัล นิผมละขึ้นเลย!! แอบลุ้นให้ได้มาทีมเรา  ไปๆมาๆกลายเป็นว่าเอเย่นต์ปั่นเพื่ออัพค่าตัวซะงั้น แต่ก็อย่างว่าทีมเราต้องเซพเงินไปสร้างสนามใหม่ล่ะครับ จะให้ไปบ้าพลังทุ่มเงินก้อนโตและกับเด็กๆก็คงจะไม่ไหว เหมือนทีมสามล้อถูกหวยบางทีม (หุหุ)

          หลังจากที่ลุ้นกันไปลุ้นกันมาอยู่ซะนานเลย  ในที่สุดผู้เล่นที่ต้องการก็มาเสียที นักเตะที่ผมกำหนดสเปคไว้ในใจเมื่อตอนนั้น และเจ้าของสเปค ถึก บึก ดำ เร็วจิ๊ดๆ คนนี้นามว่า คลินตัน เอ็นชีเย่ ปีกซ้ายที่เล่นกองหน้าได้ สัญชาติ แคเมอรูน จาก โอลิมปิก ลียง ราคาค่าตัวเท่าที่ตามข่าวมาก็จบที่ 14 ล้านยูโร บวกออปชั่นผลงานอีก 3 ล้านยูโร และในวันที่ 15 สิงหาคม นี้  เจ้าตัวจะอายุครบ 22 ปี บริบูรณ์

          ตามธรรมเนียมแต่ละปีของการซื้อขาย ทีมเรามักจะมีเซอร์ไพร์อยู่เสมอๆ ถึงจะได้ปีกกึ่งกองหน้าแบบ เอ็นชีเย่ มาแล้ว แต่อย่าลืมนะครับว่า สำหรับทีมเราแล้ว การซื้อขายเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น กับเวลาที่เหลืออยู่ 2 สัปดาห์  ไม่รู้ว่าอีตาเหม่งเลวี่ไปจีบใครหรือไปหยอดใครไว้มั่ง ก็เล่นเป็นข่าวซะเยอะเลย

          ที่มาแรงตอนนี้ ก็เห็นจะเป็น กองหน้าสัญชาติอังกฤษ ไซโด้ เบราฮิโน่ ของ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่เจ้าของทีมเขาตั้งราคาไว้ซะสูงลิบ ประมาณว่าถ้ากล้าจ่ายก็กล้าขาย ก็ยังดีที่ทีมเราไม่ไปบ้าจี้ตามราคาที่ตั้งมา ไม่รู้สุดท้ายจะลงเอยด้วยแบบไหน แต่การเจรจาด้วยราคาแพงๆกับ เลวี่ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

          ส่วนอีกตำแหน่งคือ กองกลางตัวรับ ที่ ตอนนี้ยังไม่ฟันธงว่าเป็นใคร หลายๆฝ่ายต่างก็คาดเดากันไปต่างๆนาๆ ยังไงก็ต้องซื้อตำแหน่งนี้ล่ะครับ มีไว้อุ่นใจกว่า เพราะทีมเราดันทะลึ่งปล่อยตัว ผู้เล่นในตำแหน่งออกไปถึง 2 คนด้วยกันทั้ง เอเตียง กาปู กับ เบนจามิน สตรอมบุลี่ เหลือเวลาอีกแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น ตอนนี้ ตาเหม่งเลวี่ จะทำอะไรก็รีบๆ ทำซะ !! ได้มาเพิ่ม 2 คน กับเวลาที่เหลือก็ถือว่าทำได้ตามเป้าล่ะ แต่จะให้ดี เพิ่มอีก คนก็ดีนะ ........ อิอิ


วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรื่องที่ต้องทำ............!!!!


          จบนัดแรกของทีมเรากันไปแล้วนะครับ สำหรับฟุบอลพรีเมียร์ลีค ประจำฤดูกาล 2015 โดยทีมเราต้องเจองานหนักออกไปเยือนถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ต งานนี้บรรดาเกจิทั่วฟ้าเมืองไทยต่างก็วิจารณ์กันว่า ทีมเราโดนเละแน่ๆ เพราะทีมเจ้าถิ่นเสริมทีมได้น่ากลัวมาก ทั้ง ชไวน์สไตเกอร์ , เดปาย , เดเมี่ยน และ คนที่ทีมเราอยากได้มากที่สุด มอร์แกน ชไนเดอลิน เห็นหน้ามันแล้วหมั่นไส้ อยากจะสั่งเบนทาเลบ เสียบให้ขาหักไปเลย

          เริ่มเกมส์ ทีมเราทำได้ดี ครองเกมและสร้างสรรค์โอกาสได้ดีกว่า แต่มาพลาดเอานาที่ที่ 22 เนี่ยแหละ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก จะว่าใช่ความผิดพลาดส่วนตัวมั้ย มันก็ถูก แต่จะไปโทษ วอคเกอร์ คนเดียวมันก็ไม่ใช่ ถ้าจะโทษคงต้องโทษเบนทาเลบทำบอลเสียตั้งแต่แรกแล้วล่ะมั้ง ก็ถือว่าดวงซวยสุดๆ

          หลังจากที่เราโดนลูกฟลุคๆนั้นเข้าไป ทีมเราก็ช๊อตเอาซะดื้อๆ โมเมนตั้มเปลี่ยนไปเป็นทางฝั่งเจ้าบ้านได้ครองเกมเหนือกว่า มีโอกาสเข้าทำมากกว่า การประสานงานในแนวรุกของเรากลับไม่น่ากลัวเหมือนช่วงแรกของเกมซะงั้น มองไปที่ม้านั่งสำรองก็ได้แต่ถอนหายใจว่า ผู้ใดเหนอ จะมาพลิกเกมให้ทีมเราได้ มองซ้ายมองขวา ก็คงจะมีแต่ ลาเมล่า ทั้งนั้น ก็จะพอคาดหวังได้ แต่พอลงมา รูปเกมทีมเราก็ไม่ได้ ต่างจากเดิมซักเท่าไหร่ เคนก็เงียบๆอาจจะเพราะถูกประกบติดแจทั้ง สมอลิ่ง และ บลินด์

          จบเกมก็ก้มหน้าคอตกเศร้ากันไป กินเหล้ากร่อยเลยงานนี้ ก่ะว่าอย่างน้อยมีซักแต้มกลับบ้านก็น่าจะดี นี่แหละครับเกมฟุตบอล บางทีเล่นดีแต่ผลการแข่งขันมันไม่เป็นใจ ประกอบกับดวงซวยด้วย ก็ต้องยอมรับและมองไปที่เกมต่อไปในวันเสาร์ที่จะเจอกับ สโต๊ค ซิตี้

          ส่วนตัวผมว่า ทีมเจ้าบ้านก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมาก เป็นทีมเราเองซะมากกว่าที่มีโอกาสแล้ว แต่ทำไม่ได้กันเอง ความเฉียบขาดในแดนหน้ายังไม่แน่นอน หวังเพิ่งแต่เคนมากไป ชาดลี่ก็ ผีเข้าผีออก ลูกยิงไกลจากแถวสอง ไม่มีแล้วหรือ ? ในยุคของพอช จะต่อบอลกันจนเข้าประตูเลยรึไง ? นี่แหละครับเรื่องพอชที่ต้องเอาไปขบคิดให้จงหนัก ว่ามิติเกมรุกในการเข้าทำของทีม มันต้องมีมากกว่านี้

          ดายเออร์ ปีที่แล้วเล่นแบ็คขวา มาปีนี้ถูกโยกมาเล่นตำแหน่งกลางรับ  ไม่รู้ว่าพอชคิดอะไรอยู่จะลองแผนเล่นๆหรือว่าทำประชดตาเหม่งเลวี่ งั้นรึ ? ถึงนัดนี้ ดายเออร์จะไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ถ้าจะให้ยืนระยะยาวในตะแหน่งนี้ ผมว่ามันก็ไม่ไหวนะ  เวลาปะทะฝั่งตรงข้ามที เล่นไม่ยั้งเลย กลัวจะ แข้งขาหักกันไปซะก่อน แต่ก็อย่างว่า ในขณะที่ เมสัน ยังไม่ฟิต ตัวใหม่ยังไม่มา สำรองก็มีแต่เด็กๆทั้งนั้น ต้องทนใช้บริการไปก่อน

          จากนัดนี้ได้เห็น เดเล่ อัลลิ เด็กแห่งอนาคต แสดงให้เห็นว่า การปรับทีมแมวมองของทีมใหม่ ทำให้เราได้ของถูกคุณภาพดีแต่ต้องรอเวลาเจียระไนอีกซักพัก ไม่แน่ขวัญใจคนใหม่ของแฟนๆ อาจจะเป็นเจ้าหนูคนนี้ก็ได้

          รอลุ้นกันครับว่า ตัวใหม่ที่จะเข้ามา คือใคร ระหว่าง ไซโด้ เบราฮิโน่ กับ คลินตัน เอ็นจิเย่(อ่านแบบนี้รึป่าวหว่า?) ก็หวังว่าจะได้มา ทั้ง 2 คนเลย เกมรุกทีมเราจะดูน่ากลัวขึ้น แน่นอน ว่าแต่ แล้วตำแหน่ง กลางรับผมล่ะ..................... ????